จัดเต็มแบกเป้ตามหาฟูจิซังที่ Kawaguchiko 2 วัน 1 คืน ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี [PART 2 ]

       วันนี้ผมจะมาท่านผู้อ่านไปชมฟูจิซังที่ Kawaguchiko ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีครับ...
         ช่วง 18-26 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เส้นทางที่เที่ยวได้แก่ โอซาก้า-เกียวโต- นาระ คาวาคูจิโกะ และจบทริปที่โตเกียว นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่ผมมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นครั้งแรกที่ได้มา คาวาคูจิโกะครับ ซึ่งไม่ผิดหวังเลยที่เลือกมาเที่ยวที่นี่ เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจมาก เลยตัดสินใจมาเขียนรีวิว



ผมใช้เวลาที่ คาวาคูจิโกะ 2 วัน 1 คืน แพลนเที่ยวตามนี้
Day 1 : ลงจาก Night bus from Osaka เอาของฝากที่โรงแรมแล้วเริ่มเที่ยว
 1.Oishi park + Kawaguchiko Natural living center (ป้ายหมายเลข 20-21)
2. อุโมงค์ใบไม้แดง (Maple Corridor) (ป้ายหมายเลข 17-18)
3. เรือล่องทะเลสาบคาวาคูจิโกะ
Day 2 :
1.ขึ้นกระเช้า Kachi Kachiyama Ropeway
2. เจดีย์แดง Churieto Pagoda

จากนั้นก็นั่ง Highway Bus เข้าโตเกียว

               วันนี้ผมกับน้องสาวมาพาผู้อ่านทุกท่านเที่ยว คาวาคูจิโกะ day 2 ครับ เริ่มต้นด้วยตื่นนอนแต่เช้า Check out โรงแรมและฝากกระเป๋าที่reception  แล้วเดินทางจากหน้าโรงแรม  “Route Inn Kawaguchiko ป้ายรถหมายเลข 13 Azagawa Onsen Town ที่วิวจะเห็นภูเขาไฟฟูจิครึ่งลูกเพราะมีเขาลูกเล็กๆบังวิว เดินทางไปยังป้ายรถหมายเลข 14 View point of Sakasa Fuji แค่เดินไป 1 ป้ายรถRetro Bus ท่านก็จะเห็นฟูจิในมุมมองที่แตกต่างจากเดิมครับ



แนะนำโซนตามป้ายรถ Retro Bus อีกรอบ
1.โซนที่ดีที่สุดที่ได้วิวทะเลสาบและฟูจิโดยไม่มีอะไรมาบังวิว คือที่พักที่ตั้งอยู่ใน โซนป้ายรถหมายเลข 17-21 ซึ่งที่พักบริเวณนี้จะราคาค่อนข้างสูง Sunnide Resort ที่พักระดับ 5 ดาวก็ตั้งอยู่บริเวณนี้ [ดูรูปได้ในรีวิว Day 1 ครับ]
2.โซนป้ายรถหมายเลข 14 เห็นทั้งทะเลสาบและฟูจิ แต่จะมีตีนเขาบังเล็กน้อย ,โซนป้ายรถหมายเลข 13 เห็นทั้งทะเลสาบและฟูจิ แต่จะมีตีนเขาบังฟูจิไปครึ่งลูก
3.โซนป้ายรถหมายเลขหลักหน่วยจะเห็นแต่ฟูจิ ไม่เห็นทะเลสาบครับ เพราะทะเลสาบตั้งอยู่ด้านหลัง
วิวจากหน้าโรงแรมซึ่งอยู่โซน13 จะเห็นฟูจิที่มีภูเขาบังครึ่งลูก
       
 เรื่องเน้นเดิมจาก day1 ครับ
**แนะนำว่าถ้าอยากถ่ายรูปคนกันฟูจิสวยๆโดยหน้าไม่ดำ เพราะถ่ายย้อนแสงต้องไปถ่ายในช่วงเช้าครับ ถ้าไปถึงสาย-บ่ายหน้าดำ 100 % **  

      เมื่อวานพลาดหน้าดำไปแล้ว วันนี้จึงออกแต่เช้าเพื่อไม่ให้เกิดประสบการณ์ย้อนรอย....
      พอไปถึงป้ายหมายเลข 14 ผมก็ขออุทานคำพูดเดิมครับว่า Heaven On The Earthมันสวยงามมากครับ ฟูจิที่อยู่หลังพื้นน้ำของทะเลสาบคาวาคูจิโกะแบบไม่มีอะไรมาบดบังวิว




ฟูจิซังวันนี้แตกต่างจากเมื่อวานตรงที่มีปรากฏการณ์โดมเมฆอยู่บนยอดภูเขา

จัดเต็มแบกเป้ตามหาฟูจิซังที่ Kawaguchiko 2 วัน 1 คืน ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี [PART I ]


         วันนี้ผมจะมาท่านผู้อ่านไปชมฟูจิซังที่ Kawaguchiko ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีครับ...ขอนอกเรื่องไม่เกี่ยวกับโทชิหมาดื้อหน่อยนะ55



          ช่วง 18-26 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เส้นทางที่เที่ยวได้แก่ โอซาก้า-เกียวโต- นาระ คาวาคูจิโกะ และจบทริปที่โตเกียว นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่ผมมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นครั้งแรกที่ได้มา คาวาคูจิโกะครับ ซึ่งไม่ผิดหวังเลยที่เลือกมาเที่ยวที่นี่ เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจมาก เลยตัดสินใจมาเขียนรีวิว


ผมใช้เวลาที่ คาวาคูจิโกะ 2 วัน 1 คืน แพลนเที่ยวตามนี้

Day 1 : ลงจาก Night bus from Osaka เอาของฝากที่โรงแรมแล้วเริ่มเที่ยว
1.Oishi park + Kawaguchiko Natural living center (ป้ายหมายเลข 20-21)
2.อุโมงค์ใบไม้แดง (Maple Corridor) (ป้ายหมายเลข 17-18)
3.เรือล่องทะเลสาบคาวาคูจิโกะ

Day 2 :
1.ขึ้นกระเช้า Kachi Kachiyama Ropeway
2.เจดีย์แดง Churieto Pagoda
จากนั้นก็นั่ง Highway Bus เข้าโตเกียว

            ผมเดินทางแบกเป้กับน้องสาวกันสองคน โดยขึ้น Night BuS ของบริษัท Kintetsu จากย่าน Abenohashiที่ Osaka เวลา 21.35 น. ถึง Kawaguchiko Station 8.32 น. ค่าโดยสาร 6700 เยน




ข้อดีของการเดินทางวิธีนี้ คือราคาไม่แพงมาก สามารถช่วยประหยัดค่าที่พักได้ 1 วัน (นอนในรถแทน) และช่วงเช้าก็สามารถใช้เวลาเที่ยวเมืองOsakaได้ทั้งวัน ตกเย็นก็มารอรถที่ป้าย

ข้อเสีย คือ ถ้าใครไม่ชินกับการนอนในรถอาจนอนไม่หลับ และอาจเพลียตอนไปถึงคาวาคูจิโกะในช่วงเช้าวันถัดไปได้

             เผลอแปปเดียวแค่หนึ่งตื่น...เราก็มาถึงคาวาคูจิโกะในช่วงเช้า ตรงเวลามากๆครับ 8.30 น ถึงก่อนกำหนดการ 2 นาที จากนี้ก็เริ่มเที่ยวตาม Planกันเลยครับ สิ่งที่จำเป็นสำหรับ tripนี้คือตั๋ว Kawaguchiko R-Couponราคา 2300 เยน ตั๋วนี้สามารถทำให้เราสามารถนั่ง Retro bus ได้ไม่จำกัดเที่ยวเป็นระยะเวลา 2 วัน, ขึ้นกระเช้า Kachi Kachiyama Ropeway และล่องเรือชมฟูจิที่ Kawaguchiko lake ตั๋วนี้คุ้มมากๆครับบอกเลยครับ


             แต่สำหรับคนที่ไม่ต้องการขึ้นกระเช้ากับล่องเรือ ก็มีตั๋วเฉพาะ Retro bus ใช้ได้สองวันขายในราคา 1200 เยนครับ

            จากนั้นผมและน้องสาวก็นั่ง Retro Bus “Red line” ไปยังที่พักคือ Route Inn Kawaguchikoลงป้ายรถหมายเลข 13 Azagawa Onsen Town ถึงหน้าโรงแรมเลย ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะ ราคาไม่แพงมากนัก แล้วตั้งอยู่ใน Zone ที่เห็นทั้งทะเลสอบ+ฟูจิครึ่งลูก แต่ถ้าเดินไปนิดเดียวถึงป้ายหมายเลข 14 ( เดิน 1 ป้ายรถ) ก็จะเห็นวิวฟูจิเต็มลูกได้ และมีบุฟเฟ่ขาปูยักษ์เติมได้ไม่อั้นในราคา 1500 เยนครับ


ปล. จะให้ดูวิวของบริเวณป้ายหมายเลข 14 ในรีวิวตอนที่สองนะครับ




แนะนำโซนขอแบ่งตามป้ายรถ Retro Bus

1.โซนที่ดีที่สุดที่ได้วิวทะเลสาบและฟูจิโดยไม่มีอะไรมาบังวิว คือที่พักที่ตั้งอยู่ใน โซนป้ายรถหมายเลข 17-21 ซึ่งที่พักบริเวณนี้จะราคาค่อนข้างสูง Sunnide Resort ที่พักระดับ 5 ดาวก็ตั้งอยู่บริเวณนี้

2.โซนป้ายรถหมายเลข 14 เห็นทั้งทะเลสาบและฟูจิ แต่จะมีตีนเขาบังเล็กน้อย ,โซนป้ายรถหมายเลข 13 เห็นทั้งทะเลสาบและฟูจิ แต่จะมีตีนเขาบังฟูจิไปครึ่งลูก

3.โซนป้ายรถหมายเลขหลักหน่วยจะเห็นแต่ฟูจิ ไม่เห็นทะเลสาบครับ เพราะทะเลสาบตั้งอยู่ด้านหลัง


วิวจากหน้าโรงแรมซึ่งอยู่โซน13 จะเห็นฟูจิที่มีภูเขาบังครึ่งลูก



เดินลงมาอีกหน่อยจะเห็นวิวแบบนี้

ผมเป็นทาสหมา...โทชิ ToShi ShibaDog ไปแล้ว : Getting a dog changed our life


วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครอบครัวของผม 
หลังรับเจ้าสุนัขโทชิ “ToShi ShibaDog” มาเลี้ยง



             บ้านของผมตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพหมานคร แหล่งธุรกิจใหญ่ของประเทศ ในบ้านประกอบด้วยสมาชิกครอบครัวทั้งหมด 5 คน กับ 1 ตัว คือ ผม, คุณพ่อ, คุณแม่, น้องสาว, น้องชาย และ เจ้าสุนัขโทชิ “ToShi ShibaDog”






ลำดับการปกครองในบ้านที่ควรจะเป็นควรเป็นไปตามแผนภาพนี้


แต่ความเป็นจริงนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง 


                กลายเป็นว่าเจ้าสุนัขโทชิครองความเป็นใหญ่ในบ้านไปเรียบร้อย ลำดับชั้นระดับเดียวกับคุณพ่อเลย โทชิมันกลัวคุณพ่อมาก เชื่อฟังคุณพ่ออยู่เพียงคนเดียว คนอื่นสั่งมันไม่ค่อยได้เลย คุณพ่อก็ปากแข็งบอกว่าเบื่อมัน ไม่ชอบมันหรอก.... แต่จู่ๆ ก็ไปซื้อแผ่นรองพื้นกันลื่นหลากสีสันมาปูให้โทชิ บอกว่าพื้นมันลื่นกลัวขามันจะเสีย.... คุณพ่อปากแข็งเนอะ

โทชิ “ToShi ShibaDog” จะมาสาธิตวิธีฝึกรอกันครับ : How to play Dog Trick "Wait" or "Stay"


วันนี้ โทชิ “ToShi ShibaDog” จะมาสาธิตวิธีฝึกรอกันครับ
ToShi will demonstrate how to play Dog Trick  “Wait” or “Stay”

คำสั่งรอเป็นหนึ่งในคำสั่งพื้นฐานสำหรับสุนัข
แต่ก่อนที่โทชิจะมาฝึกรอนั้น โทชิผ่านการฝึกคำสั่งพื้นฐานง่ายๆมาหมดแล้ว คือ
1.นั่ง
2.หมอบ
3.ขอมือ
4.Hi5
โทชิฝึกเรียงลำดับตามนั้น 1-4
แนะนำว่าถ้าจะฝึกรอสุนัขควรฝึกคำสั่งพื้นฐานคือนั่งกับหมอบให้ได้ก่อนครับ

               วันนี้โทชิจะมาสอนคำสั่งรอเป็นStep ที่ละขั้นและมีคลิปสาธิตมาโชว์ด้วยครับ อาจจะไม่ Perfect เท่าไร แต่ก็พอไปไหว เพราะเจ้านายผมก็เป็นแค่คนเลี้ยงสุนัขธรรมดา มิใช่ครูฝึกสอนสุนัขอาชีพ ลองผิดลองถูก หาข้อมูลในInternet หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ


Dog Trick  “Wait” or “Stay”

1.น้องหมาต้องอยู่ในท่านั่งหรือหมอบก่อนครับ




2.เมื่อน้องหมานั่งหรือหมอบแล้ว เราต้องทำให้น้องหมานั้นสนใจ มีสมาธิอยู่ที่เรา โดยใช้ขนมหรือของเล่นที่มันชอบเป็นของล่อ ถ้าตาน้องหมาจดจ่ออยู่ที่ขนมในมือเรา หรือขนมที่วางที่พื้นเป็นอันว่า Stepแรกผ่านล่ะ


3.Stepถัดมาให้เรา ก้าวถอยหลัง 1 ก้าว ยกมือขึ้นเป็นเป็นตำรวจจราจรห้ามรถ พร้อมกับออกเสียงว่า รอ หรือ คอย จากนั้นนับ 1,2,3….ถึง 10 ในใจถ้าน้องหมาของเรายังนิ่งอยู่ก็เอาขนมให้เป็นรางวัล



4.ทำซ้ำข้อ 1-3 หลายๆครั้ง ถ้าน้องหมาเขาเราเรียนรู้ได้ ก็ให้พัฒนาสู่ขั้นถัดไป

ToShi สุนัขจอมกัด : How to Train a Puppy Not to Bite people


โทชิ “ToShi ShibaDog” เป็นลูกสุนัขที่น่ารักและรักเจ้าของมาก...แต่กัดเจ็บมากครับ




                เห็นหน้าตาซื่อ น่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้.... จริงๆเป็นสุนัขเอาแต่ใจและดื้อมากครับ เวลาผมไปทำงานทั้งวันแล้วกลับบ้านมาตอนเย็น มันจะดีใจตื่นเต้นมากที่ได้เจอผม

              โทชิจะกระดิกหาง ตื่นเต้นมาก วิ่งเข้าใส่ทันทีที่ผมกลับถึงบ้าน ดีใจวิ่งมาหาอย่างเดียวผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่...มันทั้งกระโจนใส่ ทั้งกัดมือ กันแขน จนเนื้อตัวผมลายพร้อยไปหมด



นี่คือร่องรอยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน เจ็บเลือดออกซิบๆเลยทีเดียว 



               ผมคิดว่าหลายท่านอาจกำลังเจอกับสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ลูกสุนัขวัยน่ารักน่าชัง ชอบแทะมือเท้าของคุณ ประหนึ่งเป็นสแน็คอันโอชะ ครั้นจะฟาดแรงๆก็อดสงสารไม่ได้โดยเฉพาะแววตาที่เว้าวอนจึงต้องปล่อยเลยตามเลย คราวนี้เจ้าตัวแสบยิ่งได้ใจ ทั้งกัดทั้งแทะมากกว่าเดิม ลูกสุนัขมีความสุข แต่ทุกข์ใจผู้เป็นเจ้าของ

            เข้าใจว่าลูกสุนัขเป็นวัยที่ชอบกัดแทะ และพลังงานสูง พอไม่เจอหน้าเจ้าของนานๆ ไม่มีใครเล่นด้วยมาทั้งวัน พอเจอหน้าเจ้าของก็จะปลดปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ทั้งวันออกมา แต่หากเรายอมมันตลอดก็จะสร้างพฤติกรรมที่ไม่เคารพและนิสัยไม่ดีให้สุนัขของเราในอนาคต

            วันนี้ผมจึงมาแชร์ประสบการณ์และวิธีการต่างๆที่ได้ลองไป

เมื่อโทชิ “ToShi ShibaDog” โดนฝังไมโครชิพ : What is microchip for dog?


วันนี้ โทชิ “ToShi ShibaDog” จะมาแชร์ประสบการณ์การไปฝังไมโครชิพสุนัขกันครับ ไมโครชิพนั้นมีข้อดีหลายอย่างเลยนะครับ เดี๋ยว โทชิจะเล่าให้ฟังเอง


          ก่อนโทชิจะพาไปดู เรามารู้ก่อนว่าฝังไมโครชิพมีขั้นตอนที่เราต้องเตรียมการหลายอย่าง

อันดับแรก อายุของสุนัขถึงเกณฑ์ในการฝังไมโครชิพหรือยัง ?
          เนื่องจากไมโครชิพมีขนาดเล็ก จึงสามารถฉีดในสัตว์ที่มีขนาดเล็กได้อย่างปลอดภัย ลูกสุนัขอายุสัด 30-45 วันก็สามารถทำได้ วันที่ตัดสินใจพาโทชิไปฝังไมโครชิพนั้น อายุได้ 3 เดือนพอดี ฝังได้สบายๆครับ

อันดับสอง สถานที่ติดตั้งไมโครชิพ
          ไม่ใช่ทุกสถานพยาบาลสัตว์จะติดตั้งไมโครชิพได้ทุกที่ เราต้องติดตั้งไมโครชิพกับสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนเป็นศูนย์ติดตั้งเท่านั้น เพื่อให้เรามั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงของเราได้รับการติดตั้งไมโครชิพที่ได้มาตรฐาน และติดตั้งอย่างปลอดภัยโดยสัตวแพทย์ผู้ชำนาญการ

          ศูนย์ติดตั้งนั้นกระจายตามอยู่ตามที่ต่างๆทั่วกรุงเทพรวมถึงต่างจังหวัด เช็คศูนย์ติดตั้งใกล้บ้านได้ทางลิงค์นี้ครับ http://www.pettracthai.com/service.html

         โทชิได้เลือกไปติดตั้งที่ เศรษฐกิจสัตวแพทย์ เพราะประวัติการฉีดวัคซีนก่อนโทชิย้ายบ้านมาอยู่กับเจ้านายใหม่อยู่ที่คลีนิกนี้ เจ้านายโทชิอยากมาเอาประวัติเดิมเพื่อย้ายไปคลีนิกใกล้บ้านและบังเอิญคลีนิกนี้เป็นศูนย์ติดตั้งพอดี เยี่ยมไปเลยครับ

อันดับสาม เตรียมเอกสาร ได้แก่
1.สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของสุนัข
2.สำเนาทะเบียนบ้านที่สุนัขอาศัยอยู่
3.สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของบ้าน(กรณีที่เจ้าของสุนัขไม่ใช่เจ้าของบ้าน)
4.หนังสือรับรองทะเบียนตัวสุนัข หรือใบเพ็ด(ถ้ามี)
5.สมุดวัคซีน 

          เอาล่ะเริ่ม Story กันเลย


              โทชิตื่นนอนแต่เช้า มาเล่นกับเจ้านายตามปกติ จู่ๆเจ้านายก็หอบหิ้วโทชิขึ้นมาบนรถ โทชิรู้สึกดีใจว่า เย้!! เจ้านายจะพาโทชิไปเที่ยววันนี้


สักพักพอเจ้านายหยิบสมุดวัคซีนขึ้นมา...โทชิก็รู้ว่าสงสัยจะไม่ใช่ไปเที่ยวแล้ว

โทชิ "ToShi ShibaDog" สุนัขผู้เกลียดสายจูง


โทชิ “ToShi ShibaDog” เป็นสุนัขที่เกลียดสายจูงมาก...

ครั้งแรกที่ใส่สายจูงก็ออกอาการทันที  


อาการเริ่มแรก โทชิจะตัวแข็งค้าง นิ่งไม่ขยับตัว 



                  อาการถัดมา...หากผมยังฝืนดึงสายจูงต่อ มันก็จะนั่งลง เอาก้นแหมะกับพื้นเหมือนพยายามจะตั้งป้อมสู้กับผม พร้อมทั้งหันมามองและแสดงสีหน้าคล้ายๆจะบอกผมว่า

 เจ้านาย!! เอาอะไรมาใส่คอโทชิ โทชิไม่ยอมนะ"



                  และถ้ายังฝืนดึงสายจูงอีก โทชิจะลงไปนอนแผละท่าไก่ย่าง ไม่ก็นอนหงายท้องเลย ผมรู้สึกเพลียกับอาการต่อต้านของมันมาก.....มีคนบอกว่าการฝึกให้สุนัขยอมรับสายจูง ยากง่ายนั้นขึ้นกับสุนัขแต่ล่ะตัวและความมีอำนาจเหนือสุนัขของเจ้าของ ยิ่งสุนัขหัวแข็งมากเท่าไรยิ่งฝึกยาก และหากเจ้าของมีความเป็นจ่าฝูงน้อยกว่ามัน ความยากในการฝึกก็จะทวีขึ้นเหมือนเงาตามตัว

               ผมว่าโทชิคงเป็นสุนัขประเภทหัวแข็ง และมันคงมองผมเป็นลูกฝูงเพราะผมใจอ่อน ตามใจมันตลอด จนสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้มัน

              วิธีฝึกสุนัขเข้าสายจูงนั้นมีหลายวิธี

              วิธีแรกเป็นวิธีที่อ่อนโยนสุด Softวิธีใช้สุนัขสอนสุนัขวิธีหมาสอนหมา ซึ่งวิธีนี้คงต้องตัดออกไป เพราะผมเลี้ยงสุนัขตัวเดียวคือ ToShi ShibaDog

              วิธีที่สอง ใช้ของเล่นหรือขนมกระตุ้น วิธีนี้ทำโดยเมื่อสุนัขหยุดเดิน ก็ใช้ขนมหรือของเล่นที่สุนัขชอบ เป้นตัวกระตุ้นให้สุนัขเดินตาม แต่ไม่ควรให้กินทันทีต้องให้สุนัขเดินตามเราสักพัก ยิ่งไกลเท่าไรได้ยิ่งดี การให้ขนมหรือรางวัลเร็วเกินไป สุนัขจะเรียนรู้ว่าเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็จะได้ขนมแล้ว ต่อไปเขาจะนั่งต่อลองเพื่อให้เราหยิบขนมออกมา กลายเป็นเราเองนี่แหละที่ถูกมันควบคุม ซะงั้น!!
              วิธีนี้ผมว่าเหมาะสำหรับสุนัขหัวอ่อน ซึ่งเมื่อลองกับ ToShi แล้ว ใช้ได้ผลแค่ช่วงแรกเท่านั้น หลังๆมันก็ไม่ยอมเดินตามแล้ว ทั้งๆที่มีขนมล่อ อ้ากก ....สุดยอดของความดื้อ


                  จึงมีพี่ที่รู้จักกันแนะนำให้ผมลองใช้วิธีสุดท้าย